praoychnkhxngfakthxng-sudyxdphakmhascrryrakhathuuk.jpg praoychnkhxngfakthxng_mobile_720x960.jpg

30 ​ประโยชน์ของฟักทอง ​​สุดยอดผักมหัศจรรย์ราคาถูก

​​เมื่อนึกถึงอาหารเพื่อสุขภาพ หลายคนอาจนึกถึงผักผลไม้ราคาแพงหรือซูเปอร์ฟู้ดนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ความจริงแล้ว บางครั้งสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดอาจอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด นั่นก็คือ​ผักพื้นบ้านสีเหลืองที่หาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพงอย่างฟักทองนั่นเอง

​​ฟักทองเป็นพืชที่มีความพิเศษตรงที่เป็นได้ทั้งผักและผลไม้ในเวลาเดียวกัน มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา และถูกนำมาปลูกในประเทศไทยจนกลายเป็นผักพื้นบ้านที่คุ้นเคย ฟักทองอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นส่วนของเนื้อ เมล็ด ดอก หรือแม้กระทั่งใบ ก็ล้วนมีคุณประโยชน์แตกต่างกันไป​

​​วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ ​​ประโยชน์ฟักทอง ​​ถึง 30 ข้อ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ​พร้อมด้วยเคล็ดลับการเลือกซื้อ การเก็บรักษา และวิธีการรับประทานฟักทองให้ได้ประโยชน์สูงสุด มาดูกันว่าผักสีเหลืองราคาประหยัดนี้จะทำให้สุขภาพของคุณและครอบครัวดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง

30 ​ประโยชน์ของฟักทอง​ ​ทานง่าย มีประโยชน์

​​ฟักทองอุดมไปด้วยวิตามิน A, C, E, แร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และสารสำคัญอย่าง Beta-carotene ที่ให้ประโยชน์มากมายต่อร่างกาย มาดูกันว่า ​​ประโยชน์ของฟักทอง ​​มีอะไรบ้าง​

1. ​บำรุงสายตา

ประโยชน์ของฟักทอง​​เด่นชัดในการช่วยบำรุงสายตา ​เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ซึ่งช่วยป้องกันโรคตาบอดกลางคืน ลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก และชะลอการเสื่อมของจอประสาทตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ​เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ​

​​วิตามินซีและวิตามินอีในฟักทองช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ​ทำให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดระยะเวลาการฟื้นตัวจากอาการป่วยได้อีกด้วย

3. ​ชะลอความแก่

​​สารต้านอนุมูลอิสระในฟักทองช่วยต่อต้านการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ​และชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ดูอ่อนกว่าวัย

4. ​ช่วยควบคุมน้ำหนัก

​​ฟักทองเป็นผักที่ให้พลังงานต่ำ แต่อุดมไปด้วยใยอาหารที่ช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร ​จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วน

5. ​ป้องกันโรคหัวใจ

​​ฟักทองมีโพแทสเซียมสูง แต่มีโซเดียมต่ำ ​ซึ่งช่วยควบคุมความดันโลหิตและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ใยอาหารในฟักทองยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย

6. ​ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ฟักทองมีดัชนีน้ำตาลต่ำ และมีสารที่ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ​ทำให้เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

7. ​บำรุงผิวพรรณ ​

​​วิตามินอี ​และสารต้านอนุมูลอิสระในฟักทองช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดดและมลภาวะ ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น และลดการเกิดสิว

8. ​ป้องกันมะเร็ง

​​สารเบต้าแคโรทีนและแอนตี้ออกซิแดนท์ในฟักทองช่วยต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็ง ​โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอด

9. ​บำรุงกระดูกและฟัน

​​แคลเซียม แมกนีเซียม ​และสังกะสีในฟักทองมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ป้องกันโรคกระดูกพรุนและฟันผุ

10. ​ช่วยในการย่อยอาหาร

​​ใยอาหารในฟักทองช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก ​และช่วยในการขับถ่ายให้เป็นปกติ

11. ​ลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า

​​ฟักทองมีกรดอะมิโนทริปโตเฟนซึ่งร่างกายใช้ในการผลิตเซโรโทนิน ​ฮอร์โมนที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข ช่วยลดอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลได้

12. ​ลดอาการอักเสบ

​​สารต้านอนุมูลอิสระในฟักทองช่วยลดการอักเสบในร่างกาย บรรเทาอาการปวดข้อและกล้ามเนื้อ ​ช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบมีอาการดีขึ้น

13. ​เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

​​โปรตีนในฟักทองช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ​เหมาะสำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

14.​ บำรุงเส้นผม ​

​​วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอีในฟักทองช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรง ลดการหลุดร่วงของเส้นผม ​และทำให้ผมเงางาม

15. ​ป้องกันโรคหืดและภูมิแพ้

​​สารต้านอนุมูลอิสระในฟักทองช่วยลดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ ​บรรเทาอาการหอบหืดและอาการแพ้ต่างๆ

16. ​บำรุงสมอง

​​ฟักทองอุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมอง เช่น โฟเลต วิตามินบี 6 และธาตุเหล็ก ​ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมอง ป้องกันภาวะสมองเสื่อม และช่วยพัฒนาสมองของเด็กๆ ให้มีความจำดี

17. ​เสริมสร้างระบบประสาท

​​ฟักทองมีแมกนีเซียมและวิตามินบีหลายชนิดที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาท ​ลดความเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม พาร์กินสัน และอัลไซเมอร์

18. ​กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

​​วิตามินซีในฟักทองช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย ทำให้ผิวพรรณยืดหยุ่น ไม่เหี่ยวย่น และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น​

19. ​ช่วยให้หลับสบาย

​​ฟักทองมีทริปโตเฟนและแมกนีเซียมที่ช่วยผ่อนคลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ​ทำให้หลับสบายและมีคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น

20. ​เพิ่มพลังงาน ​

​​คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในฟักทองช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ​ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นทันที จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ

21. ช่วยฟื้นฟูหลังการออกกำลังกาย

​​โพแทสเซียมในฟักทองช่วยลดอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย ​และช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

22. ​ลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต

​​ฟักทองมีสารที่ช่วยป้องกันการตกผลึกของแคลเซียมในไต ​จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตได้

23. ​บำรุงระบบสืบพันธุ์

​​สังกะสีและวิตามินอีในฟักทองมีบทบาทสำคัญในการบำรุงระบบสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง ​ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศและเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์

24. ​ช่วยระหว่างตั้งครรภ์

​​ฟักทองอุดมไปด้วยโฟเลตซึ่งสำคัญมากสำหรับการพัฒนาของทารกในครรภ์ ​ช่วยป้องกันความพิการแต่กำเนิดของระบบประสาท และยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางในคุณแม่ตั้งครรภ์

25. ​บรรเทาอาการคลื่นไส้

​​ประโยชน์ของฟักทอง​​ในการช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน ​โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดหรือคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องในช่วงตั้งครรภ์

26. ​ช่วยรักษาโรคผิวหนัง

​​นำเนื้อฟักทองมาพอกผิวหรือทำเป็นมาสก์หน้า จะช่วยรักษาสิว ผดผื่น ผิวแห้ง และผื่นแพ้ต่างๆ ได้ ​ด้วยคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ

27. ​ช่วยขับพยาธิ

​​เมล็ดฟักทองมีสารที่ช่วยกำจัดพยาธิในลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ​โดยเฉพาะพยาธิตัวตืดและพยาธิเส้นด้าย

28. ​ลดอาการบวมน้ำ

​​ฟักทองมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ ช่วยลดอาการบวมน้ำ ​โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตหรือหัวใจ

29. ​ป้องกันโรคตาในผู้สูงอายุ

​​ลูทีนและซีแซนทีนในฟักทองช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมตามวัย (AMD) ​ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ

30. ​เสริมสร้างสุขภาพโดยรวม

​​การรับประทานฟักทองเป็นประจำช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ ​และช่วยให้มีอายุยืนยาว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ประโยชน์ของเมล็ดฟักทอง

​​นอกจากเนื้อฟักทองแล้ว เมล็ดฟักทองก็มีประโยชน์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน​

1. ​​อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันดี​ - เมล็ดฟักทองเป็นแหล่งโปรตีนพืชที่ดีและมีไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีต่อหัวใจ

2. ​​ป้องกันโรคต่อมลูกหมากโต​ - สังกะสีและไฟโตสเตอรอลในเมล็ดฟักทองช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคต่อมลูกหมากโต

3. ​​ช่วยขับพยาธิ​​ - เมล็ดฟักทองมีสารที่มีฤทธิ์ฆ่าพยาธิ โดยเฉพาะพยาธิตัวตืดและพยาธิเส้นด้าย​

4. ​​ลดอาการซึมเศร้า​​ - ทริปโตเฟนในเมล็ดฟักทองช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินในสมอง ​ลดอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล

5. ​​ช่วยให้นอนหลับสบาย​​ - แมกนีเซียมและทริปโตเฟนในเมล็ดฟักทองช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น​

6. ​​บำรุงเส้นผมและผิวพรรณ​​ - สังกะสีและวิตามินอีในเมล็ดฟักทองช่วยบำรุงผมให้แข็งแรงและผิวพรรณเปล่งปลั่ง​

7. ​​ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด​ - เมล็ดฟักทองช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มความไวต่ออินซูลิน เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

​วิธีทานฟักทองให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

​​การรับประทานฟักทองให้ได้​​ประโยชน์ฟักทอง​​สูงสุด ควรทำดังนี้​

1. ​​รับประทานทั้งเนื้อและเมล็ด​​ - ทั้งเนื้อและเมล็ดฟักทองมีประโยชน์แตกต่างกัน ​การรับประทานทั้งสองส่วนจะทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนมากขึ้น

2. ​​รับประทานฟักทองสุก​​ - การปรุงสุกช่วยให้ร่างกายดูดซึมเบต้าแคโรทีนได้ดีขึ้น ​โดยเฉพาะเมื่อรับประทานพร้อมไขมันดีจากน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันรำข้าว

3. ​​ใช้ความร้อนพอประมาณ​ - การนึ่งหรืออบฟักทองจะช่วยรักษาคุณค่าทางอาหารได้ดีกว่าการทอดหรือปรุงด้วยความร้อนสูง

4. ​​หลากหลายวิธีปรุง​​ - ลองรับประทานฟักทองในรูปแบบต่างๆ เช่น ซุป แกง ผัด อบ นึ่ง ทำเค้ก ​หรือขนมหวาน เพื่อไม่ให้เบื่อ

5. ​​รับประทานเป็นประจำ​​ - ควรรับประทานฟักทองเป็นประจำสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ​เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง

​เคล็ดลับการเลือกฟักทองที่สดและมีคุณภาพดี

​​การเลือกฟักทองให้สดใหม่ มีคุณภาพดี และได้รับฟักทอง ประโยชน์สูงสุด ควรสังเกตดังนี้​

1. ​​สังเกตที่น้ำหนัก​​ - ฟักทองที่ดีควรมีน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับขนาด ​แสดงว่ามีความชื้นสูงและยังสด

2. ​​ดูที่เปลือก​​ - เปลือกควรแข็ง ไม่มีรอยแตก บุบ หรือเน่า สีสม่ำเสมอ ไม่มีจุดดำหรือเขียว​

3. ​​ตรวจสอบขั้ว​​ - ขั้วฟักทองควรแห้งและแข็ง ไม่เปียกหรือมีเชื้อรา​

4. ​​สังเกตเสียง​​ - เคาะเบาๆ ที่เปลือก ถ้าได้ยินเสียงกลวงแสดงว่าฟักทองสุกและมีคุณภาพดี​

5. ​​เลือกตามวัตถุประสงค์​​ - ฟักทองหนักขนาดกลางเหมาะสำหรับทำอาหารคาว ​ส่วนฟักทองลูกเล็กมักมีเนื้อหวานเหมาะกับการทำขนม

6. ​​สังเกตสี​​ - ฟักทองที่มีสีเข้มมักจะมีเบต้าแคโรทีนสูงกว่าฟักทองสีอ่อน ​ทำให้ได้รับประโยชน์ทางโภชนาการมากกว่า

7. ​​สด > แช่แข็ง > กระป๋อง​​ - ฟักทองสดมีคุณค่าทางอาหารมากที่สุด รองลงมาคือแช่แข็ง ​ส่วนฟักทองกระป๋องอาจมีน้ำตาลและโซเดียมเพิ่ม

​การเก็บรักษาฟักทองอย่างถูกวิธี

​​เพื่อให้ฟักทองคงความสดและ​​ประโยชน์ของฟักทอง​​ไว้ได้นานที่สุด ควรเก็บรักษาดังนี้​

1. ​​ฟักทองทั้งลูก​​ - เก็บในที่แห้ง เย็น มีอากาศถ่ายเท ห่างจากแสงแดด อุณหภูมิประมาณ 10-15 ​องศาเซลเซียส สามารถเก็บได้นาน 1-3 เดือน โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น

2. ​​ฟักทองที่หั่นแล้ว​​ - ห่อด้วยพลาสติกแรปให้แน่น เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา สามารถเก็บได้นาน 5-​7 วัน

3. ​​ฟักทองที่ปรุงสุกแล้ว​​ - เก็บในภาชนะปิดสนิท แช่ในตู้เย็น สามารถเก็บได้นาน 3-5 วัน​

4. ​​ฟักทองแช่แข็ง​​ - หั่นชิ้นเล็กๆ ลวกในน้ำเดือด 2-3 นาที แล้วแช่น้ำเย็นทันที จากนั้นซับให้แห้ง แพ็คในถุงซิปล็อคและแช่แข็ง สามารถเก็บได้นาน 8-12 เดือน​

5. ​​เมล็ดฟักทอง​​ - อบหรือคั่วให้แห้งสนิท เก็บในภาชนะปิดสนิท ในที่แห้งและเย็น ​สามารถเก็บได้นาน 3-6 เดือน

6. ​​หลีกเลี่ยงการเก็บใกล้ผลไม้ที่สุกเร็ว​​ - เช่น แอปเปิ้ล กล้วย เพราะจะทำให้ฟักทองสุกเร็วขึ้น​

7. ​​ตรวจสอบเป็นประจำ​​ - หมั่นตรวจดูฟักทองที่เก็บไว้ หากพบจุดเน่าหรือขึ้นรา ให้รีบตัดส่วนนั้นทิ้ง หรือนำไปใช้ทันที​

​ข้อควรระวังในการบริโภคฟักทอง

​​​​แม้ว่าฟักทองจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังในการบริโภคเช่นกัน​

1. ​​อาจแพ้ในบางคน​​ - ผู้ที่แพ้พืชตระกูลแตง อาจมีอาการแพ้ฟักทองได้ ​ควรสังเกตอาการหลังรับประทาน

2. ​ระวังในผู้ป่วยเบาหวาน​​ - แม้ฟักทองจะมีดัชนีน้ำตาลต่ำ แต่ยังคงมีคาร์โบไฮเดรต ​ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

3. ​อาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด​​ - ฟักทองอาจมีปฏิกิริยากับยาต้านการแข็งตัวของเลือด ​ควรปรึกษาแพทย์หากกำลังใช้ยากลุ่มนี้

4. ​ระวังในผู้มีปัญหาไตหรือโพแทสเซียมสูง​​ - ฟักทองมีโพแทสเซียมสูง ​จึงควรระวังในผู้ที่มีปัญหาไตหรือมีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง

5. ​ไม่ควรรับประทานฟักทองดิบ​​ - ฟักทองดิบอาจมีสารที่ทำให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ ​อาเจียน ควรปรุงให้สุกก่อนรับประทาน

6. ​​ระวังในผู้ที่มีปัญหาทางเดินอาหาร​​ - ใยอาหารในฟักทองอาจกระตุ้นอาการท้องอืด แน่นท้อง ในผู้ที่มีลำไส้แปรปรวนหรือลำไส้อักเสบ​

7. ​​ไม่ควรรับประทานฟักทองเน่า​​ - ฟักทองที่เน่าหรือขึ้นรา อาจมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ควรทิ้งทันที​

​สรุป: ฟักทอง ผักมหัศจรรย์ที่ควรมีติดบ้าน

​​ฟักทองเป็นผักที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง ให้ประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ ​ด้วยราคาที่ไม่แพงและหาซื้อได้ง่าย ทำให้ฟักทองเป็นตัวเลือกที่ดีในการเสริมสร้างสุขภาพสำหรับทุกคนในครอบครัว

​​​จาก 30 ​​ประโยชน์ของฟักทอง ​​ข้อที่กล่าวมา ​จะเห็นได้ว่าฟักทองมีคุณประโยชน์ครอบคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ช่วยในการป้องกันโรค รักษาโรค และเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม การรับประทานฟักทองเป็นประจำจึงเป็นวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้คุณและครอบครัวมีสุขภาพที่ดีขึ้น​ เพียงเลือกฟักทองที่มีคุณภาพดี เก็บรักษาอย่างถูกวิธี และรับประทานให้เหมาะสม ​คุณก็จะได้รับประโยชน์ของฟักทองอย่างเต็มที่ เพราะบางครั้ง สิ่งดีๆ ก็อยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง

อ้างอิง

https://medthai.com/ฟักทอง/

https://www.webmd.com/diet/health-benefits-pumpkin

https://www.healthline.com/nutrition/pumpkin