
เมื่อนึกถึงอาหารเพื่อสุขภาพ หลายคนอาจนึกถึงผักผลไม้ราคาแพงหรือซูเปอร์ฟู้ดนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ความจริงแล้ว บางครั้งสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดอาจอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด นั่นก็คือผักพื้นบ้านสีเหลืองที่หาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพงอย่างฟักทองนั่นเอง
ฟักทองเป็นพืชที่มีความพิเศษตรงที่เป็นได้ทั้งผักและผลไม้ในเวลาเดียวกัน มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา และถูกนำมาปลูกในประเทศไทยจนกลายเป็นผักพื้นบ้านที่คุ้นเคย ฟักทองอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นส่วนของเนื้อ เมล็ด ดอก หรือแม้กระทั่งใบ ก็ล้วนมีคุณประโยชน์แตกต่างกันไป
วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ ประโยชน์ฟักทอง ถึง 30 ข้อ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน พร้อมด้วยเคล็ดลับการเลือกซื้อ การเก็บรักษา และวิธีการรับประทานฟักทองให้ได้ประโยชน์สูงสุด มาดูกันว่าผักสีเหลืองราคาประหยัดนี้จะทำให้สุขภาพของคุณและครอบครัวดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง
30 ประโยชน์ของฟักทอง ทานง่าย มีประโยชน์
ฟักทองอุดมไปด้วยวิตามิน A, C, E, แร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และสารสำคัญอย่าง Beta-carotene ที่ให้ประโยชน์มากมายต่อร่างกาย มาดูกันว่า ประโยชน์ของฟักทอง มีอะไรบ้าง
1. บำรุงสายตา
ประโยชน์ของฟักทองเด่นชัดในการช่วยบำรุงสายตา เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ซึ่งช่วยป้องกันโรคตาบอดกลางคืน ลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก และชะลอการเสื่อมของจอประสาทตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
วิตามินซีและวิตามินอีในฟักทองช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดระยะเวลาการฟื้นตัวจากอาการป่วยได้อีกด้วย
3. ชะลอความแก่
สารต้านอนุมูลอิสระในฟักทองช่วยต่อต้านการเกิดริ้วรอยก่อนวัย และชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ดูอ่อนกว่าวัย
4. ช่วยควบคุมน้ำหนัก
ฟักทองเป็นผักที่ให้พลังงานต่ำ แต่อุดมไปด้วยใยอาหารที่ช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วน
5. ป้องกันโรคหัวใจ
ฟักทองมีโพแทสเซียมสูง แต่มีโซเดียมต่ำ ซึ่งช่วยควบคุมความดันโลหิตและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ใยอาหารในฟักทองยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย
6. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ฟักทองมีดัชนีน้ำตาลต่ำ และมีสารที่ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ทำให้เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
7. บำรุงผิวพรรณ
วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระในฟักทองช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดดและมลภาวะ ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น และลดการเกิดสิว
8. ป้องกันมะเร็ง
สารเบต้าแคโรทีนและแอนตี้ออกซิแดนท์ในฟักทองช่วยต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอด
9. บำรุงกระดูกและฟัน
แคลเซียม แมกนีเซียม และสังกะสีในฟักทองมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ป้องกันโรคกระดูกพรุนและฟันผุ
10. ช่วยในการย่อยอาหาร
ใยอาหารในฟักทองช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยในการขับถ่ายให้เป็นปกติ
11. ลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า
ฟักทองมีกรดอะมิโนทริปโตเฟนซึ่งร่างกายใช้ในการผลิตเซโรโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข ช่วยลดอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลได้
12. ลดอาการอักเสบ
สารต้านอนุมูลอิสระในฟักทองช่วยลดการอักเสบในร่างกาย บรรเทาอาการปวดข้อและกล้ามเนื้อ ช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบมีอาการดีขึ้น
13. เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
โปรตีนในฟักทองช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ
14. บำรุงเส้นผม
วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอีในฟักทองช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรง ลดการหลุดร่วงของเส้นผม และทำให้ผมเงางาม
15. ป้องกันโรคหืดและภูมิแพ้
สารต้านอนุมูลอิสระในฟักทองช่วยลดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการหอบหืดและอาการแพ้ต่างๆ
16. บำรุงสมอง
ฟักทองอุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมอง เช่น โฟเลต วิตามินบี 6 และธาตุเหล็ก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมอง ป้องกันภาวะสมองเสื่อม และช่วยพัฒนาสมองของเด็กๆ ให้มีความจำดี
17. เสริมสร้างระบบประสาท
ฟักทองมีแมกนีเซียมและวิตามินบีหลายชนิดที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาท ลดความเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม พาร์กินสัน และอัลไซเมอร์
18. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
วิตามินซีในฟักทองช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย ทำให้ผิวพรรณยืดหยุ่น ไม่เหี่ยวย่น และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
19. ช่วยให้หลับสบาย
ฟักทองมีทริปโตเฟนและแมกนีเซียมที่ช่วยผ่อนคลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้หลับสบายและมีคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น
20. เพิ่มพลังงาน
คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในฟักทองช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นทันที จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ
21. ช่วยฟื้นฟูหลังการออกกำลังกาย
โพแทสเซียมในฟักทองช่วยลดอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย และช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
22. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต
ฟักทองมีสารที่ช่วยป้องกันการตกผลึกของแคลเซียมในไต จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตได้
23. บำรุงระบบสืบพันธุ์
สังกะสีและวิตามินอีในฟักทองมีบทบาทสำคัญในการบำรุงระบบสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศและเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์
24. ช่วยระหว่างตั้งครรภ์
ฟักทองอุดมไปด้วยโฟเลตซึ่งสำคัญมากสำหรับการพัฒนาของทารกในครรภ์ ช่วยป้องกันความพิการแต่กำเนิดของระบบประสาท และยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางในคุณแม่ตั้งครรภ์
25. บรรเทาอาการคลื่นไส้
ประโยชน์ของฟักทองในการช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดหรือคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องในช่วงตั้งครรภ์
26. ช่วยรักษาโรคผิวหนัง
นำเนื้อฟักทองมาพอกผิวหรือทำเป็นมาสก์หน้า จะช่วยรักษาสิว ผดผื่น ผิวแห้ง และผื่นแพ้ต่างๆ ได้ ด้วยคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ
27. ช่วยขับพยาธิ
เมล็ดฟักทองมีสารที่ช่วยกำจัดพยาธิในลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพยาธิตัวตืดและพยาธิเส้นด้าย
28. ลดอาการบวมน้ำ
ฟักทองมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ ช่วยลดอาการบวมน้ำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตหรือหัวใจ
29. ป้องกันโรคตาในผู้สูงอายุ
ลูทีนและซีแซนทีนในฟักทองช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมตามวัย (AMD) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ
30. เสริมสร้างสุขภาพโดยรวม
การรับประทานฟักทองเป็นประจำช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ และช่วยให้มีอายุยืนยาว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ประโยชน์ของเมล็ดฟักทอง
นอกจากเนื้อฟักทองแล้ว เมล็ดฟักทองก็มีประโยชน์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
1. อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันดี - เมล็ดฟักทองเป็นแหล่งโปรตีนพืชที่ดีและมีไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีต่อหัวใจ
2. ป้องกันโรคต่อมลูกหมากโต - สังกะสีและไฟโตสเตอรอลในเมล็ดฟักทองช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคต่อมลูกหมากโต
3. ช่วยขับพยาธิ - เมล็ดฟักทองมีสารที่มีฤทธิ์ฆ่าพยาธิ โดยเฉพาะพยาธิตัวตืดและพยาธิเส้นด้าย
4. ลดอาการซึมเศร้า - ทริปโตเฟนในเมล็ดฟักทองช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินในสมอง ลดอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล
5. ช่วยให้นอนหลับสบาย - แมกนีเซียมและทริปโตเฟนในเมล็ดฟักทองช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
6. บำรุงเส้นผมและผิวพรรณ - สังกะสีและวิตามินอีในเมล็ดฟักทองช่วยบำรุงผมให้แข็งแรงและผิวพรรณเปล่งปลั่ง
7. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด - เมล็ดฟักทองช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มความไวต่ออินซูลิน เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
วิธีทานฟักทองให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
การรับประทานฟักทองให้ได้ประโยชน์ฟักทองสูงสุด ควรทำดังนี้
1. รับประทานทั้งเนื้อและเมล็ด - ทั้งเนื้อและเมล็ดฟักทองมีประโยชน์แตกต่างกัน การรับประทานทั้งสองส่วนจะทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนมากขึ้น
2. รับประทานฟักทองสุก - การปรุงสุกช่วยให้ร่างกายดูดซึมเบต้าแคโรทีนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรับประทานพร้อมไขมันดีจากน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันรำข้าว
3. ใช้ความร้อนพอประมาณ - การนึ่งหรืออบฟักทองจะช่วยรักษาคุณค่าทางอาหารได้ดีกว่าการทอดหรือปรุงด้วยความร้อนสูง
4. หลากหลายวิธีปรุง - ลองรับประทานฟักทองในรูปแบบต่างๆ เช่น ซุป แกง ผัด อบ นึ่ง ทำเค้ก หรือขนมหวาน เพื่อไม่ให้เบื่อ
5. รับประทานเป็นประจำ - ควรรับประทานฟักทองเป็นประจำสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง
เคล็ดลับการเลือกฟักทองที่สดและมีคุณภาพดี
การเลือกฟักทองให้สดใหม่ มีคุณภาพดี และได้รับฟักทอง ประโยชน์สูงสุด ควรสังเกตดังนี้
1. สังเกตที่น้ำหนัก - ฟักทองที่ดีควรมีน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับขนาด แสดงว่ามีความชื้นสูงและยังสด
2. ดูที่เปลือก - เปลือกควรแข็ง ไม่มีรอยแตก บุบ หรือเน่า สีสม่ำเสมอ ไม่มีจุดดำหรือเขียว
3. ตรวจสอบขั้ว - ขั้วฟักทองควรแห้งและแข็ง ไม่เปียกหรือมีเชื้อรา
4. สังเกตเสียง - เคาะเบาๆ ที่เปลือก ถ้าได้ยินเสียงกลวงแสดงว่าฟักทองสุกและมีคุณภาพดี
5. เลือกตามวัตถุประสงค์ - ฟักทองหนักขนาดกลางเหมาะสำหรับทำอาหารคาว ส่วนฟักทองลูกเล็กมักมีเนื้อหวานเหมาะกับการทำขนม
6. สังเกตสี - ฟักทองที่มีสีเข้มมักจะมีเบต้าแคโรทีนสูงกว่าฟักทองสีอ่อน ทำให้ได้รับประโยชน์ทางโภชนาการมากกว่า
7. สด > แช่แข็ง > กระป๋อง - ฟักทองสดมีคุณค่าทางอาหารมากที่สุด รองลงมาคือแช่แข็ง ส่วนฟักทองกระป๋องอาจมีน้ำตาลและโซเดียมเพิ่ม
การเก็บรักษาฟักทองอย่างถูกวิธี
เพื่อให้ฟักทองคงความสดและประโยชน์ของฟักทองไว้ได้นานที่สุด ควรเก็บรักษาดังนี้
1. ฟักทองทั้งลูก - เก็บในที่แห้ง เย็น มีอากาศถ่ายเท ห่างจากแสงแดด อุณหภูมิประมาณ 10-15 องศาเซลเซียส สามารถเก็บได้นาน 1-3 เดือน โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น
2. ฟักทองที่หั่นแล้ว - ห่อด้วยพลาสติกแรปให้แน่น เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา สามารถเก็บได้นาน 5-7 วัน
3. ฟักทองที่ปรุงสุกแล้ว - เก็บในภาชนะปิดสนิท แช่ในตู้เย็น สามารถเก็บได้นาน 3-5 วัน
4. ฟักทองแช่แข็ง - หั่นชิ้นเล็กๆ ลวกในน้ำเดือด 2-3 นาที แล้วแช่น้ำเย็นทันที จากนั้นซับให้แห้ง แพ็คในถุงซิปล็อคและแช่แข็ง สามารถเก็บได้นาน 8-12 เดือน
5. เมล็ดฟักทอง - อบหรือคั่วให้แห้งสนิท เก็บในภาชนะปิดสนิท ในที่แห้งและเย็น สามารถเก็บได้นาน 3-6 เดือน
6. หลีกเลี่ยงการเก็บใกล้ผลไม้ที่สุกเร็ว - เช่น แอปเปิ้ล กล้วย เพราะจะทำให้ฟักทองสุกเร็วขึ้น
7. ตรวจสอบเป็นประจำ - หมั่นตรวจดูฟักทองที่เก็บไว้ หากพบจุดเน่าหรือขึ้นรา ให้รีบตัดส่วนนั้นทิ้ง หรือนำไปใช้ทันที
ข้อควรระวังในการบริโภคฟักทอง
แม้ว่าฟักทองจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังในการบริโภคเช่นกัน
1. อาจแพ้ในบางคน - ผู้ที่แพ้พืชตระกูลแตง อาจมีอาการแพ้ฟักทองได้ ควรสังเกตอาการหลังรับประทาน
2. ระวังในผู้ป่วยเบาหวาน - แม้ฟักทองจะมีดัชนีน้ำตาลต่ำ แต่ยังคงมีคาร์โบไฮเดรต ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
3. อาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด - ฟักทองอาจมีปฏิกิริยากับยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์หากกำลังใช้ยากลุ่มนี้
4. ระวังในผู้มีปัญหาไตหรือโพแทสเซียมสูง - ฟักทองมีโพแทสเซียมสูง จึงควรระวังในผู้ที่มีปัญหาไตหรือมีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง
5. ไม่ควรรับประทานฟักทองดิบ - ฟักทองดิบอาจมีสารที่ทำให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ควรปรุงให้สุกก่อนรับประทาน
6. ระวังในผู้ที่มีปัญหาทางเดินอาหาร - ใยอาหารในฟักทองอาจกระตุ้นอาการท้องอืด แน่นท้อง ในผู้ที่มีลำไส้แปรปรวนหรือลำไส้อักเสบ
7. ไม่ควรรับประทานฟักทองเน่า - ฟักทองที่เน่าหรือขึ้นรา อาจมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ควรทิ้งทันที
สรุป: ฟักทอง ผักมหัศจรรย์ที่ควรมีติดบ้าน
ฟักทองเป็นผักที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง ให้ประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ ด้วยราคาที่ไม่แพงและหาซื้อได้ง่าย ทำให้ฟักทองเป็นตัวเลือกที่ดีในการเสริมสร้างสุขภาพสำหรับทุกคนในครอบครัว
จาก 30 ประโยชน์ของฟักทอง ข้อที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าฟักทองมีคุณประโยชน์ครอบคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ช่วยในการป้องกันโรค รักษาโรค และเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม การรับประทานฟักทองเป็นประจำจึงเป็นวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้คุณและครอบครัวมีสุขภาพที่ดีขึ้น เพียงเลือกฟักทองที่มีคุณภาพดี เก็บรักษาอย่างถูกวิธี และรับประทานให้เหมาะสม คุณก็จะได้รับประโยชน์ของฟักทองอย่างเต็มที่ เพราะบางครั้ง สิ่งดีๆ ก็อยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง
อ้างอิง