
น้ำตาลแลคโตส คือ น้ำตาลธรรมชาติที่พบในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และผลิตภัณฑ์จากนมแทบทุกชนิด คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “แพ้แลคโตส” หรือ “ย่อยแลคโตสไม่ได้” แต่ยังไม่แน่ใจว่าคืออะไร มีอาการอย่างไร หรือควรดูแลลูกอย่างไรหากมีภาวะนี้ วันนี้ไมโลจะพาไปทำความรู้จักกับน้ำตาลแลคโตสว่า คืออะไร ข้อดีข้อเสีย อาการ และสาเหตุของการแพ้แลคโตส รวมถึงวิธีดูแล และป้องกัน
● น้ำตาลแลคโตสคืออะไร และมีอยู่ในอาหารประเภทใดบ้าง
● ปริมาณน้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมประเภทต่าง ๆ แตกต่างกันอย่างไร
● ข้อดีและข้อเสียของแลคโตส คืออะไร
● แลคโตสเหมาะกับใคร
● การแพ้น้ำตาลแลคโตส คืออะไร มีสาเหตุอะไรบ้าง
● อาการแพ้น้ำตาลแลคโตส รุนแรงแค่ไหน
● การตรวจอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส มีกี่วิธี
● รักษาและป้องกันอาการแพ้น้ำตาลแลคโตสอย่างไร
● ผู้ที่แพ้น้ำตาลแลคโทสควรรับประทานอาหารอย่างไร
น้ำตาลแลคโตสคืออะไร และมีอยู่ในอาหารประเภทใดบ้าง?
น้ำตาลแลคโตส (Lactose) คือ น้ำตาลโมเลกุลคู่ที่ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส และน้ำตาลกาแลคโตส พบได้เฉพาะในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เช่น นมแม่ นมวัว นมแพะ นมแกะ และเป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์จากนมเกือบทุกประเภท
โดยเมื่อเราดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากนม ร่างกายจะต้องใช้เอนไซม์แลคเตสที่สร้างจากลำไส้เล็กในการย่อยแลคโตสให้กลายเป็นกลูโคส และกาแลคโตส เพื่อดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และนำไปใช้เป็นพลังงาน
ปริมาณน้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมประเภทต่าง ๆ แตกต่างกันอย่างไร?
เปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลแลคโตส (Lactose) ในผลิตภัณฑ์นมแต่ละชนิด โดยระบุเป็นกรัมต่อ 100 กรัมของผลิตภัณฑ์ให้ดูกันแบบชัด ๆ
ผลิตภัณฑ์นม |
ปริมาณแลคโตส (กรัม/100 กรัม) |
นมวัว (Whole milk) |
4.9 |
นมแพะ (Goat's milk) |
4.0 – 5.0 |
นมแกะ (Sheep's milk) |
4.3 – 4.7 |
นมแม่ (Breast milk) |
5.0 – 9.5 |
โยเกิร์ต / โยเกิร์ตนมแพะ / โยเกิร์ตนมแกะ |
4.8 / 2.0 / 2.2 |
นมเปรี้ยว (Drinking yoghurt, Kefir) |
4.0 |
ชีสสด/คอทเทจชีส (Cottage cheese, Fromage frais) |
2.5 – 4.1 |
เนย (Butter) |
0.1 – 0.6 |
จากตารางปริมาณแลคโตสด้านบน สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ
● ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการหมัก เช่น โยเกิร์ต จะมีปริมาณแลคโตสต่ำกว่านมสด เนื่องจากแบคทีเรีย ช่วยย่อยแลคโตสบางส่วนระหว่างกระบวนการผลิต
● เนยมีแลคโตสต่ำมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นไขมัน และน้ำถูกแยกออกไปในกระบวนการผลิต
● นมแม่มีปริมาณแลคโตสสูงกว่านมสัตว์ชนิดอื่นเล็กน้อย
ข้อดีและข้อเสียของแลคโตส คืออะไร?
ข้อดีของแลคโตส
● เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ โดยเฉพาะสำหรับทารก และเด็กเล็ก เนื่องจากแลคโตสในนมแม่ช่วยให้เด็กได้รับพลังงาน และสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต
● ส่งเสริมการดูดซึมแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง
● ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ (probiotics)
● มีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าน้ำตาลชนิดอื่น
● ทำให้เกิดฟันผุน้อยกว่าน้ำตาลชนิดอื่น เนื่องจากการผลิตกรดจากแลคโตสเกิดขึ้นช้ากว่า และนมมีความเป็นกรดต่ำ
ข้อเสียของแลคโตส
● เด็กที่มีภาวะย่อยแลคโตสบกพร่อง (Lactose Intolerance) จะไม่สามารถย่อยแลคโตสได้ดี เนื่องจากร่างกายผลิตเอนไซม์แลคเตสไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย ปวดท้อง แน่นท้อง หรือคลื่นไส้หลังดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากนม
ประโยชน์ของนมวัวที่หลายคนอาจไม่เคยรู้
แลคโตสเหมาะกับใคร?
● คนที่ร่างกายสามารถย่อยแลคโตสได้
แลคโตสเหมาะกับคนที่ร่างกายสามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสได้ดี และต้องการได้รับประโยชน์จากสารอาหารในนม เช่น โปรตีน แคลเซียม และวิตามินต่าง ๆ
● คนที่ต้องการลดน้ำตาล
แลคโตส คือ น้ำตาลธรรมชาติในนม มีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าน้ำตาลชนิดอื่น เช่น กลูโคสหรือซูโครส จึงไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไมโลยูเอชที สูตรหวานน้อย ทางเลือกสำหรับผู้ใส่ใจสุขภาพ หวานน้อยลง ลดปริมาณนํ้าตาลกว่า 30% พร้อมคุณประโยชน์จากมอลต์ นมและโกโก้
● คนที่ต้องการลดน้ำหนัก
นมที่มีแลคโตส หรือผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ และน้ำตาลต่ำ เช่น นมพร่องมันเนย นมแลคโตสฟรี หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ เหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะให้พลังงานต่ำ อิ่มท้อง
การแพ้น้ำตาลแลคโตส คืออะไร มีสาเหตุอะไรบ้าง?
หลังจากรู้จัก น้ำตาลแลคโตส คืออะไร มีข้อดีข้อเสีย เหมาะกับใครบ้างไปแล้ว มาทำความเข้าใจถึงอาการแพ้ และสาเหตุการแพ้แลคโตสกันดีกว่า
การแพ้น้ำตาลแลคโตส คืออะไร?
การแพ้น้ำตาลแลคโตส (Lactose Intolerance) คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ในน้ำนม และผลิตภัณฑ์จากนมได้อย่างสมบูรณ์ โดยสาเหตุหลักเกิดจากลำไส้เล็กผลิตเอนไซม์แลคเตส (Lactase) ไม่เพียงพอสำหรับการย่อยแลคโตส
เมื่อแลคโตสที่ไม่ได้ถูกย่อยเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ จะถูกแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่หมักจนเกิดแก๊ส และกรด ส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายท้อง เช่น ท้องอืด ปวดท้อง ผายลมบ่อย ท้องเสีย หรือคลื่นไส้อาเจียน โดยอาการเหล่านี้ มักเกิดขึ้นหลังรับประทานนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมประมาณ 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมง
สาเหตุการแพ้น้ำตาลแลคโตส มีกี่ประเภท
สาเหตุการแพ้น้ำตาลแลคโตสแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
1.ภาวะพร่องเอนไซม์แลคเตส
เกิดจากการที่เอนไซม์แลคเตสลดลงตามอายุ และพันธุกรรม พบมากในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในชาวเอเชีย และแอฟริกัน
2.ภาวะขาดเอนไซม์ตั้งแต่เกิด
เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้ทารกไม่สามารถย่อยแลคโตสได้ตั้งแต่แรกเกิด
3.ภาวะขาดเอนไซม์ตามหลังการอักเสบติดเชื้อของลำไส้
การผลิตเอนไซม์แลคเตสลดลงชั่วคราวจากความเสียหายของลำไส้ เช่น การติดเชื้อ การอักเสบ หรือโรคบางชนิด
อาการแพ้น้ำตาลแลคโตส รุนแรงแค่ไหน?
ความรุนแรงของอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส ขึ้นอยู่กับปริมาณแลคโตสที่รับประทาน และความสามารถในการย่อยแลคโตสของแต่ละคน โดยอาการอาจมีตั้งแต่เล็กน้อย เช่น ท้องอืด แน่นท้อง ปวดท้อง หรือผายลมบ่อย ไปจนถึงรุนแรง เช่น ท้องเสีย ถ่ายเหลว หรือคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งโดยทั่วไป ใครที่มีภาวะนี้ จะสามารถทนแลคโตสได้ประมาณ 12 กรัม (เท่านม 1 แก้ว) แต่บางคนอาจมีอาการแม้ได้รับในปริมาณน้อยมาก
ถึงแม้การแพ้แลคโตสจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่อาจส่งผลกระทบต่อการได้รับสารอาหาร เช่น แคลเซียม และวิตามินดี หากต้องงดนม และผลิตภัณฑ์นมเป็นเวลานาน
การตรวจอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส มีกี่วิธี?
● การซักประวัติและอาการที่แสดงออก
แพทย์จะสอบถามประวัติการรับประทานอาหาร อาการหลังดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงประวัติครอบครัว และโรคประจำตัว เพื่อช่วยคัดกรองเบื้องต้นว่า มีแนวโน้มแพ้น้ำตาลแลคโตสหรือไม่
● การวัดค่าก๊าซไฮโดรเจนที่มากขึ้นในลมหายใจหลังได้รับน้ำตาลแลคโตส 50 กรัม
วิธีนี้เรียกว่า Hydrogen Breath Test เป็นการให้ผู้ป่วยดื่มสารละลายแลคโตส 50 กรัม แล้ววัดปริมาณก๊าซไฮโดรเจนในลมหายใจเป็นระยะ หากร่างกายย่อยแลคโตสไม่ได้ แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่จะหมักแลคโตสและปล่อยก๊าซไฮโดรเจนออกมาในปริมาณสูงกว่าปกติ [20 ส่วนต่อล้าน (ppm) ภายใน 90 นาที]
● การวัดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดหลังได้รับน้ำตาลแลคโตส 50 กรัม
วิธีนี้เรียกว่า Lactose Intolerance Test ให้ดื่มสารละลายแลคโตส 50 กรัม แล้วตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเป็นระยะ หากร่างกายย่อยแลคโตสได้ ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
● การส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนื้อลำไส้เล็กส่วนต้น
ในกรณีที่หาสาเหตุไม่ได้หรือสงสัยโรคอื่นร่วมด้วย แพทย์อาจพิจารณาส่องกล้อง เพื่อตัดชิ้นเนื้อจากลำไส้เล็กส่วนต้นส่งตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อดูการสร้างเอนไซม์แลคเตส
● การตรวจทางพันธุกรรมเพื่อดูยีนส์ที่ควบคุมการสร้างแลคเตส
การตรวจยีน LCT (Lactase gene) เป็นการตรวจทางพันธุกรรม เพื่อดูความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างเอนไซม์แลคเตส เหมาะสำหรับกรณีที่สงสัยว่า เด็กมีภาวะแพ้แลคโตสแต่กำเนิด
รักษาและป้องกันอาการแพ้น้ำตาลแลคโตสอย่างไร?
วิธีรักษา และป้องกันอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส คือ เน้นที่การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และเลือกผลิตภัณฑ์ทดแทน
● หลีกเลี่ยงหรือจำกัดอาหารที่มีแลคโตส เช่น นมวัว นมแพะ นมผง นมข้นหวาน ชีส โยเกิร์ต ครีม ไอศกรีม และอาหารที่มีนมเป็นส่วนประกอบ
● เลือกดื่มนมแลคโตสฟรี (Lactose Free Milk) ซึ่งผ่านกระบวนการเติมเอนไซม์แลคเตส เพื่อย่อยแลคโตสแล้ว หรือเลือกนมจากพืช เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ นมข้าวโอ๊ตที่ไม่มีแลคโตส
● ดื่มนมพร้อมอาหารหรือแบ่งดื่มทีละน้อย จะช่วยให้ร่างกายทนต่อแลคโตสได้ดีขึ้น ลดอาการไม่สบายท้อง เช่น ดื่มนมพร้อมมื้ออาหาร หรือดื่มครั้งละน้อย ๆ แต่หลายครั้งในวันเดียว
● เลือกผลิตภัณฑ์นมที่มีแลคโตสต่ำ เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรือชีสบางชนิด เพราะจุลินทรีย์ และกระบวนการหมัก จะช่วยย่อยแลคโตสบางส่วน
● เสริมแคลเซียม และวิตามินดีจากแหล่งอื่น เช่น ผักใบเขียว เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย ถั่วต่าง ๆ
● อ่านฉลากอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีนมหรือแลคโตสเป็นส่วนประกอบ
ผู้ที่แพ้น้ำตาลแลคโทสควรรับประทานอาหารอย่างไร?
เด็กหรือผู้ที่มีภาวะแพ้น้ำตาลแลคโตส ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีแลคโตส และเลือกอาหารหรือเครื่องดื่มที่ทดแทนได้ เช่น
● นมแลคโตสฟรี (Lactose Free Milk): เป็นนมที่ผ่านกระบวนการเติมเอนไซม์แลคเตส ทำให้แลคโตสถูกย่อยแล้ว เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้แลคโตส
● นมจากพืช (Plant-Based Milk): เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ นมข้าวโอ๊ต นมข้าวกล้อง นมพิสตาชิโอ ซึ่งไม่มีแลคโตส และเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่แพ้แลคโตส
● โยเกิร์ตบางชนิด: โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์อาจช่วยย่อยแลคโตสได้บางส่วน
● อาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง: เช่น ปลาทะเล ไข่แดง ตับ เต้าหู้ ผักใบเขียว เพื่อทดแทนสารอาหารที่อาจขาดจากการงดนม
ประโยชน์ของแคลเซียม แคลเซียมสำคัญแค่ไหน?
น้ำตาลแลคโตส คือ สารอาหารสำคัญที่พบในนม และผลิตภัณฑ์จากนม แม้บางคนอาจมีภาวะแพ้แลคโตส แต่ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงทั้งหมด เพียงเลือกบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมหรือเลือกผลิตภัณฑ์ทางเลือก ซึ่งการเข้าใจเรื่องน้ำตาลแลคโตสจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ ดูแลเรื่องอาหารการกินของเด็กได้อย่างเหมาะสมตามความต้องการของร่างกาย เช่นเดียวกับการเลือกนมไมโลยูเอชทีที่ให้คุณค่าทางโภชนาการจากนม และมอลต์ พร้อมรสชาติอร่อยเข้มข้น ดื่มง่าย เหมาะกับทุกวัยในทุกวัน
แหล่งอ้างอิง:
ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องในเด็ก (Lactose intolerance) จาก โรงพยาบาลสมิติเวช
รู้ได้อย่างไรว่าแพ้แลคโตส จาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
เทคนิคการเลือกดื่มนมสำหรับคนที่ดื่มนมแล้วปวดท้อง จาก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์