Teamwork Makes Us: ครอบครัววงศ์ษากับการใช้กีฬาเลี้ยงลูก Teamwork Makes Us: ครอบครัววงศ์ษากับการใช้กีฬาเลี้ยงลูก

Teamwork Makes Us: ครอบครัววงศ์ษากับการใช้กีฬาเลี้ยงลูก

เส้นทางที่จะทำให้เด็กสักคนเติบโตไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ อาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพ่อแม่ เพราะไม่เพียงแต่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องร่างกายเท่านั้น ยังมีเรื่องของระเบียบวินัย จิตใจ และทัศนคติที่ดีอีกด้วย

‘กีฬา’ จึงกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถนำมาปรับใช้ในการเลี้ยงลูกได้ โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลที่เล่นเป็นทีม ซึ่งสามารถสอนเรื่องทีมเวิร์ก ประกอบไปด้วยคุณค่า 4 อย่างทั้ง Togetherness การเรียนรู้ความเป็นทีม, Sharing การแบ่งปัน, Energy to help each other การซัพพอร์ตเพื่อน และ Respect การได้รู้จักตัวเอง เคารพคนในทีม รวมถึงคู่แข่ง เรียกว่ากีฬาถือเป็นครูชีวิตที่สอนลูกได้อย่างดีทีเดียว

ครอบครัววงศ์ษา คือตัวอย่างของครอบครัวนักกีฬาตัวจริงที่มี คุณพ่อใหม่ – ภานุพงศ์ วงศ์ษา อดีตปราการหลังและกัปตันทีมชาติไทย และ คุณแม่ปุ้ม – ณิชานันท์ วงศ์ษา ที่ใช้กีฬาในการเลี้ยงดู ฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจให้กับน้องวอร์มอัพ – ภาสวัฒน์ วงศ์ษา นักเตะรุ่นเล็กอนาคตไกลที่โด่งดังจากรายการ SUPER 10 เพื่อให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี รวมไปถึงการเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างที่ฝัน ลองไปดูกันว่า กีฬาจะเป็นครูชีวิตให้กับน้องวอร์มได้อย่างไร 

Teamwork Makes Us1

ตอนแรกที่รู้ว่ามีน้องวอร์ม ตั้งใจให้เป็นนักกีฬาตั้งแต่อยู่ในท้องเลยรึเปล่า

คุณพ่อใหม่ : 

พอรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายตั้งแต่ 3 – 4 เดือนแรก ที่ตอนคุณแม่เขาท้อง ก็คาดหวังว่าอยากให้ลูกเป็นนักฟุตบอลเลย ก็เป็นเรื่องปกติของคุณพ่อที่เป็นนักบอลอยู่แล้ว เพราะว่าเรารักฟุตบอล เราเป็นนักฟุตบอล เราอยู่กับฟุตบอลมาทั้งชีวิต ก็เลยมีความหวังที่อยากให้ลูกเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่ตอนยังไม่คลอดเลย

คุณแม่ปุ้ม : 

คือตอนนั้นยังไม่ได้คิดว่าเขาจะเป็นอะไร แต่พอเขาโตมาแล้วเหมือนกับเขาชอบฟุตบอลมาก เราก็สนับสนุนเขาเต็มที่ เพราะว่าคุณพ่อเขาก็เป็นนักฟุตบอลสามารถแนะนำให้ไปในทางนี้ได้ดี

พอเห็นน้องวอร์มเริ่มโตขึ้น มั่นใจขนาดไหนว่าเขาจะเติบโตเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้

คุณพ่อใหม่ : 

ตอนนั้นผมเป็นนักฟุตบอลอาชีพเต็มตัวแล้ว ตั้งแต่เขาเดินได้ แล้วพาเขาออกจากบ้านได้ ก็พาเข้าสนามไปซ้อม ไปดูแข่งตลอด คือทุกครั้งที่ลงสนาม เขาจะเข้าหาฟุตบอลตลอด จะมีอะไรที่เกี่ยวกับฟุตบอลไม่ว่าจะอยู่บ้านหรืออยู่สนาม เขาเห็นลูกบอลไม่ได้ ต้องเข้าหาเลย ก็คือพอเห็นตรงนั้นรู้เลยว่าเขาชอบฟุตบอล ก็คิดว่าน่าจะต้องสนับสนุนเขาทางด้านฟุตบอล คือถามว่ามั่นใจไหม ก็ไม่ได้มั่นใจเด็กปกติก็ชอบเล่น แต่เขาจะสนุกมากกว่าที่เห็นฟุตบอล

รู้สึกว่าน้องมีพรสวรรค์ไหม

คุณพ่อใหม่ : 

ผมว่าเขาน่าจะมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่แตกต่างจากคนอื่น อาจจะไม่ได้วิ่งเร็ว อาจจะไม่ได้มีความแข็งแกร่ง แต่เขาจะมีทักษะพิเศษเรื่องการเตะที่แม่น  พอประมาณสัก 5 – 6 ขวบ ก็เริ่มพาเขาเข้า Academy โรงเรียนฟุตบอล เท่าที่ผมจำได้คือเขาจะวิ่งมั่วเลย คือจะไปไหนก็ได้ขอให้มีฟุตบอล

 

Teamwork Makes Us2

ตอนอยู่บ้านอยู่กับใครมากกว่ากัน คุณพ่อหรือคุณแม่

คุณแม่ปุ้ม : 

จะอยู่กับแม่มากกว่า เพราะว่าช่วงนั้น คุณพ่อจะมีแข่งเยอะ ไปต่างประเทศ ไปต่างจังหวัดบ่อย น้องก็จะอยู่กับแม่ เขาจะเป็นเด็กที่นิสัยร่าเริง อารมณ์ดี ขี้เล่น มีความคิดเป็นของตัวเอง มีดื้อกับแม่บ้าง แล้วก็ชอบเล่นกีฬา อันดับแรกคือฟุตบอล ส่วนกีฬาอื่นๆ ก็ชอบเล่นหมด 

แล้วเรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง

คุณแม่ปุ้ม : 

ตอนอยู่โรงเรียนเก่า เกรดเขาก็จะได้ประมาณ 3.9 ทุกเทอม แต่ว่าพอย้ายโรงเรียนใหม่เป็นโรงเรียนอินเตอร์ เราก็ให้เวลาเขาเรียนไปเลยปีหนึ่ง โดยที่เราจะไม่สนใจเกรดเขาเลย เกรดจะได้อยู่กลางๆ ต้นๆ ไม่ถึงกับเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก แต่ก็คือไม่แย่ ตั้งแต่เล็กๆ การที่เขาได้เข้าสนามบอลกับคุณพ่อเขา ทำให้เขาได้ซึมซับเกี่ยวกับเรื่องระเบียบวินัย เรื่องความตรงเวลา แล้วก็มีสัมมาคารวะ คือเขาเข้าสนามบอล เขาต้องเจอคนเยอะมาก ก็จะสอนและเน้นเขาเรื่องนี้อันดับแรกเลย คือเจอใครก็ต้องสวัสดี คือเราสอนเขามาตั้งแต่เล็กๆ เลย

เมื่อพูดถึงความเป็นครอบครัวนักกีฬา มีวิธีการสอนเรื่องทีมเวิร์กให้กับน้องวอร์มอย่างไร

คุณพ่อใหม่ : 

คือที่บ้านเราจะเน้นเรื่องทัศนคติเกี่ยวกับการเป็นนักกีฬา อันดับแรกคือการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยของนักกีฬา คือให้เกียรติคู่แข่ง ให้เกียรติเพื่อนร่วมทีม คือจะสอนเขาตลอดเลยว่าห้ามว่าเพื่อน ต้องให้กำลังใจเพื่อน ห้ามว่าคู่ต่อสู้ และห้ามเถียงกรรมการ ส่วนอย่างอื่นก็ปล่อย จะเล่น จะเลี้ยง จะส่ง จะยิง เป็นหน้าที่ของเขาเลย แล้วก็สุดท้ายเรื่องพวกระเบียบวินัยต่างๆ มาถึงสนามต้องตั้งใจซ้อม 

 

Teamwork Makes Us3

น้องวอร์มรู้สึกยังไงบ้าง ที่คุณพ่อสอนเรื่องทีมเวิร์ก

น้องวอร์ม : 

ชอบครับ เพราะตอนโตสามารถเอาไปใช้ได้ด้วยครับ เวลาเล่นก็ต้องให้กำลังใจเพื่อนตลอดเพราะว่าถ้าเกิดข้างหลัง ไม่ไปข้างหน้า มันก็ยิงประตูไม่ได้ คือฟุตบอลมันสำคัญที่สุดเลยครับเรื่องทีมเวิร์ก มันต้องไปด้วยกันทั้งทีม ทั้งช่วยรับ ช่วยรุก ช่วยกันหมดเลยครับ ก็คิดว่าต้องทำให้เต็มที่ที่สุด แล้วก็ชนะไปพร้อมๆ กับเพื่อนครับ

คุณพ่อใหม่ : 

เรื่องของฟุตบอล ไม่มีใครอยากจะแพ้ อยากทำเสียหรอก ผมจะสอนเขาตลอดว่าเราสักวันเราก็ต้องทำเสียได้ สักวันเราก็ต้องเป็นผู้แพ้ได้ การให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าทุกคนอยู่เป็นทีม ทุกอย่างจะไปได้ไกล

เรื่องการควบคุมอารมณ์ในเกมกีฬา คุณพ่อมีเทคนิคสอนอย่างไรให้น้องวอร์มเอาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้

คุณพ่อใหม่ : 

ส่วนตัวเวลาผมเล่น ผมจะค่อนข้างควบคุมอารมณ์ตัวเองได้พอสมควร ผมจะสอนลูกประมาณว่า ถ้าเราควบคุมตัวเองไม่ได้ จะทำให้เกมเสีย เพราะฉะนั้นอันดับแรกเลย ต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ถึงจะไปควบคุมคนอื่นได้ คือในเกมฟุตบอลมีการปะทะที่รุนแรงอยู่แล้ว แต่ก็คือกติกาคอยควบคุมไว้อยู่ เพราะฉะนั้นเราจึงมีหน้าที่เล่น ควบคุมตัวเอง และทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุด

เวลาน้องวอร์มโดนทำฟาวล์ตอนแข่ง น้องวอร์มทำยังไง

น้องวอร์ม : 

ก็ให้กรรมการตัดสินเลย อยู่ที่กรรมการอย่างเดียวเลยครับ ต้องให้กำลังใจเพื่อนและให้เกียรติคู่ต่อสู้ด้วยครับ

ตอนแรกที่รู้ว่าน้องวอร์มได้ถ่ายโฆษณาไมโล รู้สึกยังไงบ้าง

คุณแม่ปุ้ม : 

ก็รู้สึกดีใจ ตื่นเต้น เพราะว่าไมโลเป็นสัญลักษณ์ของนักกีฬาอยู่แล้ว ก็รู้สึกดีใจที่เขาได้ไปอยู่ตรงนั้น

น้องวอร์ม : 

ก็ดีใจครับ คุ้มกับที่เหนื่อย ดีใจที่ได้ออกทีวีด้วยครับ

คุณพ่อใหม่: 

ผมบอกเขาแล้วว่า ในอนาคตถ้าเราได้ไปถึงการเป็นนักฟุตบอลอาชีพจริงๆ ตรงนี้คือส่วนหนึ่งของการทำงาน ควรฝึกไว้ อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ทำให้การเป็นนักฟุตบอลอาชีพสมบูรณ์ได้

ปกติน้องวอร์มดื่มไมโลเป็นประจำไหม

น้องวอร์ม : 

ตอนหลังซ้อมวอร์มกับเพื่อนๆ ก็ดื่มกันทุกครั้งเลย เพราะอร่อยครับ

คุณแม่ปุ้ม : 

คือต้องบอกนิดนึงว่า ก่อนหน้านี้เขาเป็นเด็กที่แพ้นมวัว จะกินไม่ได้ แล้วพอตอนหลังคือเหมือนพอเรารักษาเขาหายแล้ว ได้เริ่มดื่มไมโลทำให้น้ำหนักเขาดีขึ้น แข็งแรงขึ้น 

คุณพ่อใหม่ : 

ปกติหลังซ้อมผมจะให้พ่อแม่ของเด็กๆ เตรียมไมโลมาให้ดื่มกัน เพราะรสชาติอร่อย แล้วก็ให้พลังงานสูงด้วย 

 

ถามน้องวอร์มเวลาที่คุณพ่อสอนเขาดุไหม

น้องวอร์ม : 

ก็ดุบ้าง ไม่ดุบ้างครับ แล้วแต่ ถ้าเกิดเราตั้งใจซ้อมก็ไม่ดุ แต่ถ้าเกิดไม่ตั้งใจซ้อม ก็ดุครับ

คุณพ่อใหม่ : 

ผมจะมีเวลาซ้อมให้เขาน้อย ก็เลยต้องเน้นหนักหน่อย ก็เป็นปกติของเด็กวัยนี้ คืออาจจะมีออกนอกลู่นอกทาง อาจจะดื้อ อาจจะไม่ฟังบ้าง แต่เราต้องพยายามคุมเขาให้ได้ เพราะว่าในอนาคตเขาต้องเจออะไรอีกเยอะเลย

 

Teamwork Makes Us4

มองว่ากีฬาเป็นครูชีวิตได้อย่างไร

คุณพ่อใหม่ : 

อันดับแรกที่สำคัญที่สุด คือการรู้แพ้ รู้ชนะ เป็นเรื่องสำคัญของกีฬาเลย ส่วนที่สองคือการทำให้เขาได้รู้จักการอยู่กันเป็นทีม รู้จักการให้อภัย เพราะฟุตบอลมันเล่นคนเดียวไม่ได้ มันต้องไปเป็นทีม อีกอย่างก็คือเวลาเขาอยู่กับเพื่อน เขาจะสนุกที่ได้แบ่งปันทริคใหม่ๆ กับเพื่อน เป็นสิ่งที่เขาได้รับจากสังคมนักกีฬา ทั้งหมดนี้จะทำให้เขาแบบเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการสนับสนุนลูก สิ่งที่เขาชอบ สิ่งที่เขาอยากจะเป็นแล้วสุดท้ายเขาจะเป็นอะไรก็อยู่ที่เขาเลือก

คุณแม่ปุ้ม : 

นอกจากกีฬาจะทำให้เขามีสุขภาพที่แข็งแรงแล้ว ก็เหมือนก็พัฒนาทางด้านจิตใจเขาด้วย อย่างการเข้าสังคมเวลาที่เขาไปแข่งหรือไปซ้อม เขาก็จะได้รู้จักแพ้ ชนะไปด้วยกัน ได้แบ่งปันเทคนิคกันกับเพื่อนเขาเวลาไปแข่งก็ได้ซัพพอร์ตกันช่วยเหลือกันในทีม และเขาก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะกีฬาทำให้เด็กแสดงตัวตนออกมาได้ กีฬาจึงเป็นครูชีวิตของเขานอกจากพ่อแม่ได้จริงๆ 

น้องวอร์ม : 

กีฬาสอนให้วอร์มรู้จักเข้าสังคม เข้ากับเพื่อนได้เวลาเรียนก็มีสมาธิขึ้นเยอะเลย แล้วก็ทำให้วอร์มมีระเบียบวินัยและตรงต่อเวลาครับ ขอบคุณ คุณป๊ากับคุณแม่ที่สนับสนุนครับ ก็จะทำให้เต็มที่ครับ ขอบคุณที่สนับสนุนนะครับ 

ที่มาบทความ  :   https://thematter.co/brandedcontent/milo_th_teamwork-makes-us/123146