ปัญหาเด็กติดเกมที่คุณแม่ควรรู้กับวิธีการรับมืออย่างสร้างสรรค์DT ปัญหาเด็กติดเกมที่คุณแม่ควรรู้กับวิธีการรับมืออย่างสร้างสรรค์MB

‘เด็กติดเกม’ ปัญหาที่คุณแม่ควรรู้ พร้อมวิธีการรับมืออย่างสร้างสรรค์

 

ปัญหาเด็กติดเกมในทุกวันนี้ถือเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป เนื่องจากในปัจจุบันมีสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย ทั้งสื่อเกมออนไลน์ หรืออินเทอร์เน็ตที่ลูก ๆ สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนจะกังวลใจว่าอาการติดเกมอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ของลูกน้อย และเราจะมีวิธีในการป้องกันและแก้ไขอาการติดเกมของลูกได้อย่างไร

ในบทความนี้ ไมโล จะมาบอกเคล็ดลับดูแลลูกอย่างไรให้ปลอดภัยและสร้างสรรค์ เล่นเกมแล้วได้คุณประโยชน์ที่มากกว่าโทษ

เช็ก 9 อาการ แบบไหนที่เรียกว่าลูกเป็น ‘เด็กติดเกม’

 

เริ่มแรก เรามาทำความรู้จักกับ 9 เช็กลิสต์ ลักษณะของ “การติดเกม หรือ Game Addiction” กันดูก่อนว่าลูกของเรามีพฤติกรรมตามข้อเหล่านี้หรือไม่ ซึ่งถ้าหากว่ามี คุณพ่อคุณแม่ควรรีบหาแนวทางการแก้ไข รวมถึงปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดู เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบระยะยาวต่อบุคลิกภาพและการเรียนของพวกเขาในอนาคต

1. ใช้เวลากับการเล่นเกมมากจนเกินไป

ในที่นี้หมายถึงการที่ลูกนั่งเล่นเกมอยู่กับที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจมากกว่า 3-4 ชั่วโมง/วัน หรือการนั่งเล่นทั้งวันทั้งคืนจนแทบไม่มีหยุดพัก ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การกินและการนอนหลับของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง

2. แสดงความก้าวร้าวเมื่อไม่พอใจ

เมื่อลูกจดจ่อกับเกมที่มีเนื้อหารุนแรงหรือส่งผลให้เกิดความเครียด เด็กจะมีพฤติกรรมชอบทำเสียงดัง โวยวาย และหงุดหงิดได้ง่าย หากคุณแม่ไม่รีบตักเตือน พวกเขาก็จะเคยชินจนเป็นนิสัย และแก้ได้ยากเมื่อโตขึ้น

3. สมาธิสั้น ไม่จดจ่อกับการเรียน

ในเกมจะมีสิ่งเร้าที่คอยรบกวนสมาธิของเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพ แสงสี หรือเสียงต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้พวกเขามองหาความสนุกหรือสิ่งที่น่าสนใจตลอดเวลา จนไม่สามารถจดจ่อกับอะไรที่ต้องใช้ความอดทน อย่างการเรียน การออกกำลังกาย หรือการทำงานบ้านได้

4. เริ่มตัดขาดจากโลกภายนอก

เพราะพวกเขามองว่ากิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เกมออนไลน์เป็นอะไรที่น่าเบื่อ ใช้เวลานาน แถมยังต้องลงมือทำอย่างมากกว่าจะได้มาซึ่งรางวัล การเล่นเกมจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เด็ก ๆ มีความสุขได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย จนนำไปสู่การเก็บตัว และไม่ยอมไปพบปะกับเพื่อนโรงเรียน

5. ต้องการเล่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อยากเล่นเกมตลอดเวลา

เด็กติดเกมจะต้องการเพิ่มเวลาเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ คิดถึงและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเกมตลอดเวลา และกระตือรือร้นเฉพาะเมื่อได้พูดหรือทำกิจกรรมเกี่ยวกับเกมเท่านั้น

6. เล่นเกมมากอย่างต่อเนื่อง กระทบกับชีวิตประจำวัน

เด็กติดเกมจะยังคงเล่นเกมต่อไปแม้จะเกิดผลเสียกับชีวิตประจำวัน เช่น ไม่สนใจเรียน สอบตก โดดเรียนมาเล่นเกม หรือความสัมพันธ์กับครอบครัวแย่ลง มักหาข้ออ้างเพื่อให้ได้เล่นต่อ เช่น "แค่วันนี้วันเดียว" หรือ "ต้องเล่นให้จบด่านนี้ก่อน" โดยไม่สามารถหยุดหรือควบคุมตนเองได้

7. หลอกพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือผู้บำบัดรักษาเกี่ยวกับการเล่นเกม

เมื่อการติดเกมรุนแรงขึ้น เด็กจะเริ่มโกหกเกี่ยวกับเวลาที่ใช้ไปกับการเล่นเกม แอบเล่นในห้องน้ำ แอบเล่นตอนดึกหลังพ่อแม่เข้านอน หรือเอาเวลาที่ควรทำการบ้านมาเล่นเกม บางคนถึงขั้นหนีเรียนเพื่อไปเล่นเกมที่ร้านอินเทอร์เน็ต สร้างบัญชีเกมสำรอง หรือใช้อุปกรณ์ที่พ่อแม่ไม่รู้ว่ามี

8. เล่นเกมเพื่อหลีกหนีโลกความเป็นจริง

เด็กติดเกมมักใช้เกมเป็นทางออกเมื่อรู้สึกเครียด กดดัน หรือเผชิญปัญหาในชีวิตจริง เลือกใช้เวลาในโลกเสมือนที่สามารถควบคุมได้และประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่า แทนที่จะเรียนรู้วิธีจัดการกับปัญหาหรืออารมณ์ในชีวิตจริง

9. แสดงพฤติกรรมหรือทำพฤติกรรมที่ไม่ดีเพื่อให้ได้เล่นเกม

สัญญาณเตือนที่รุนแรงของเด็กติดเกม คือ การที่เด็กเริ่มแสดงพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เช่น ขโมยเงินพ่อแม่เพื่อซื้อไอเทมในเกม นำของในบ้านไปขายเพื่อหาเงินมาเล่นเกม ไม่สนใจครอบครัวหรือคนรอบตัว แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อถูกบังคับให้หยุดเล่น พฤติกรรมเหล่านี้บ่งชี้ว่าปัญหาการติดเกมได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ของเด็ก

สาเหตุที่ลูกติดเกม ปัญหาเล็ก ๆ ที่ผู้ใหญ่อาจมองข้าม

 

  • การเลี้ยงดูที่ตามใจเกินไป: พ่อแม่ตามใจมากเกินไปไม่สร้างระเบียบวินัยให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้ลูกขาดความยับยั้งชั่งใจ และติดเกมได้ง่าย อ่านเคล็ดลับการเลี้ยงลูกเพิ่มเติมได้ที่ เลี้ยงลูกให้ได้ดี
  • ขาดความผูกพันในครอบครัว: คนในครอบครัวใช้ชีวิตต่างคนต่างอยู่ ไม่พูดคุยหรือใช้เวลาร่วมกันทำให้เด็กเหงาและรู้สึกเบื่อ จึงหันไปหาเกมแทน
  • สิ่งเร้าในโลกออนไลน์: เกมและคอนเทนต์ต่างๆ ถูกออกแบบมาเพื่อดึงความสนใจ ทำให้เด็กจดจ่ออยู่กับหน้าจอ และห่างไกลจากการทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ง่าย
  • ปัญหาด้านสุขภาพจิต: เด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น ซึมเศร้า วิตกกังวลหรือขาดการเข้าสังคม อาจใช้การเล่นเกมเป็นทางออก หรือเป็นที่พึ่งทางใจ
  • แรงเสริมทางบวกจากการเล่นเกม: เมื่อเล่นเกมชนะ ได้คะแนนหรืออันดับที่ดี เด็กจะอยากเล่นเกมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเด็กที่มีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ อยากได้การยอมรับจากเพื่อนหรือคนอื่น
  • ความเครียดจากปัญหาครอบครัว: เด็กบางคนเล่นเกมเพื่อหลีกหนีหรือระบายความเครียดที่เกิดจากสภาพแวดล้อมในบ้าน
  • ขาดต้นแบบที่ดีในครอบครัว: เมื่อพ่อแม่หรือคนในครอบครัวแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากเกินไป ติดมือถือ ไม่มีวินัย หรือไม่ใส่ใจลูก เด็กก็อาจเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านั้น และหันไปพึ่งเกมเป็นหลัก

 

5 วิธีแก้ปัญหาลูกติดเกม

 

วิธีการแก้ปัญหา รับมือเมื่อลูกติดเกม

1. สร้างวินัยในชีวิตประจำวัน

ฝึกวินัย ให้ลูกรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง เช่น เมื่อกลับจากโรงเรียนลูกต้องอาบน้ำกินข้าว พร้อมทำการบ้านให้เสร็จ คุณแม่ถึงจะอนุญาตให้เล่นเกมได้

2. จำกัดชั่วโมงการเล่น

เด็ก ๆ ไม่ควรใช้เวลาติดกับหน้าจอนานเกิน 2-3 ชั่วโมงต่อวัน คุณพ่อคุณแม่สามารถเข้มงวดกับระยะเวลา รวมถึงวางเครื่องเล่นเกมไว้ในที่ส่วนรวม เพื่อให้สอดส่องดูแลได้ง่าย

3. หากิจกรรมสร้างสรรค์ ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น

อาการลูกติดเกมอาจเกิดจากการที่ลูกรู้สึกเบื่อหรือขาดสิ่งเร้าที่น่าสนใจ คุณพ่อคุณแม่สามารถหากิจกรรมสนุก ๆ สุดครีเอต แอคทีฟร่วมกันได้ที่บ้าน เช่น เกมกระโดดยาง สายลับเลเซอร์ เอาตัวรอดผ่านสิ่งกีดขวาง หรือการออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ ชมการแสดงศิลปะ นอกจากจะช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้จากสิ่งรอบตัวมากขึ้น อารมณ์ดี ร่างกายได้ขยับและแข็งแรงแล้ว พวกเขายังได้พัฒนาทักษะด้านความคิด การวางแผน และเปิดมุมมองอื่น ๆ ได้อีกด้วย

อ่านบทความ กิจกรรมสร้างสรรค์ชวนลูกแอคทีฟที่บ้านกับไมโล ช่วยเสริมพัฒนาการของลูกน้อยวัย 7-12 ปี เพิ่มเติม

4. ให้รางวัลเมื่อพวกเขาทำสำเร็จ

ลูกจะเรียนรู้ได้ดีหากเราให้รางวัลเมื่อพวกเขาทำพฤติกรรมที่เหมาะสม เมื่อลูกยอมทำตามข้อตกลงที่ตั้งไว้ คุณแม่เองก็สามารถตอบแทนความตั้งใจเล็ก ๆ นี้ด้วยสิ่งที่เขาชอบ อย่างเช่น เมนูโปรดแสนอร่อย ทำง่าย มีประโยชน์จาก ไมโล ดูไอเดียและสูตรเพิ่มพลังให้กับคนเก่งประจำบ้านง่าย ๆ จากบทความนี้ได้เลยค่ะ

5. ปรึกษา พูดคุยกับจิตแพทย์

หากทำทุกวิธีแล้วยังไม่ได้ผล คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยมาพบกับคุณหมอ เพื่อช่วยกันหาปมปัญหาลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในใจ รวมถึงแนะแนวทางแก้ไขที่ได้ผลดียิ่งขึ้นอีกด้วย

6. เลือกเกมที่ไม่มีความรุนแรง

พ่อแม่ควรคัดกรองเกมที่ลูกเล่นอย่างระมัดระวัง โดยเลือกเกมที่ปราศจากความรุนแรงและมีเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัย ควรมุ่งเน้นเกมที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางความคิด เช่น เกมปริศนา เกมกลยุทธ์ หรือเกมที่ช่วยฝึกทักษะการแก้ปัญหา การเลือกเกมที่มีคุณค่าทางการศึกษาจะช่วยให้เวลาที่ลูกใช้กับหน้าจอเป็นประโยชน์มากขึ้น

7. เล่นเกมร่วมกับลูก

การที่พ่อแม่แบ่งเวลามาเล่นเกมร่วมกับลูกเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว และทำให้ผู้ปกครองได้ทราบว่าลูกกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ การเล่นด้วยกันยังเปิดโอกาสให้พ่อแม่สอดแทรกค่านิยมและบทเรียนที่มีประโยชน์ผ่านประสบการณ์การเล่นเกม ทำให้การเล่นเกมกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์และมีความหมายมากขึ้น

8. ไม่เล่นในห้องนอน

การตั้งกฎไม่ให้นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปเล่นในห้องนอนเป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญ เนื่องจากห้องนอนเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ยากต่อการควบคุมดูแล การเล่นเกมในห้องนอนอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอนและสุขภาพโดยรวมของเด็ก โดยเฉพาะหากเด็กแอบเล่นในยามวิกาล ควรกำหนดให้มีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับการเล่นเกมที่พ่อแม่สามารถสังเกตการณ์ได้

ปัญหาลูกติดเกมนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา แต่ ไมโล เชื่อว่าคุณแม่ทุกคนพร้อมที่จะลุยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ลูกรักเติบโตมามีทั้งสุขภาพกายและใจที่ดี เป็นคนเก่งยิ่งขึ้นไปในอนาคต

 

อ้างอิง
https://www.si.mahidol.ac.th/th/department/psychiatrics/cap/knowledge53/I14.pdf  
https://workpointtoday.com/g-3
https://new.camri.go.th/Knowledge/บทความ/สาเหตุ-เด็กติดเกม#:~:text=ปัจจุบันมีเครื่องมือที่มี,บุคลิกตนเอง%20ได้เพื่อนใน 
https://www.patrangsit.com/Content/4055/เล่นเกมส์กระตุ้นให้เกิด%20”โรคสมาธิสั้น”%20จริงหรือไม่%20/
https://www.camri.go.th/th/knowledge/article/ar2/ar2-58
https://www.princsuvarnabhumi.com/articles/content-เด็กติดเกม